หญิงสาวกำลังดูข้อมูลสินค้าออนไลน์บนสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ พร้อมข้อความ '6 เทคนิคโฆษณาสินค้าออนไลน์ ให้โดนใจลูกค้า'

6 เทคนิคโฆษณาสินค้าออนไลน์ ให้โดนใจลูกค้า

รวม 6 เทคนิคโฆษณาสินค้าออนไลน์ ที่ช่วยให้คุณสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงจุด ตั้งแต่การใช้คำ การสร้างภาพลักษณ์ ไปจนถึงกลยุทธ์ใช้ Influencer และเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม เพิ่มยอดขายได้อย่างยั่งยืน

การโฆษณาสินค้าออนไลน์ให้โดนใจลูกค้าในยุคดิจิทัล ต้องอาศัยทั้งกลยุทธ์คอนเทนต์ การใช้ภาพ วิดีโอ อินฟลูเอนเซอร์ และการเข้าใจแพลตฟอร์มแต่ละช่องอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถดึงดูด สร้างความเชื่อมั่น และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้จริง

การจะให้คนหยุดดูโฆษณาของคุณ “ต้องทำให้โดนใจ” มากกว่าแค่การเสนอส่วนลดหรือเขียนแคปชันสั้นๆ บทความนี้รวม 6 เทคนิคโฆษณาสินค้าออนไลน์ ที่เจาะลึกทั้งด้านการสื่อสาร การสร้างอารมณ์ร่วม การใช้สื่อและช่องทางออนไลน์อย่างแม่นยำ เพื่อให้คุณสามารถสร้างแคมเปญที่ ไม่เพียงแต่ขายได้ แต่ยังสร้างแบรนด์ระยะยาว ไปพร้อมกัน

หญิงสาวกำลังจัดเรียงสินค้าสำหรับขายออนไลน์ในห้องทำงาน พร้อมข้อความ 'เทคนิคการโฆษณาสินค้าออนไลน์ให้น่าสนใจ มีอะไรบ้าง'

เทคนิคที่ 1 : เขียนข้อความโฆษณาให้โดน ตั้งแต่ 3 วินาทีแรก

ปัจจุบันผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเลื่อนหน้าจอเร็วพอๆ กับการกระพริบตา แบรนด์มีเวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการดึงดูดความสนใจของผู้ชม การเขียน “ข้อความโฆษณา” ที่โดนใจตั้งแต่ประโยคแรก จึงเป็นหัวใจสำคัญของแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ

เพราะอะไรประโยคแรกถึงสำคัญที่สุด?

สมองของคนเราตัดสินใจเบื้องต้นได้ภายใน 3 วินาที หากข้อความของคุณไม่ “เกี่ยวข้อง ทันสมัย หรือกระตุ้นอารมณ์” โฆษณานั้นจะถูกมองข้ามทันที ไม่ว่าจะมีภาพสวย วิดีโอดี หรือโปรโมทแรงแค่ไหน

เขียนอย่างไรให้ข้อความดึงดูด?

  • ใช้คำที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น คำที่สื่อถึงผลลัพธ์ ความเร่งด่วน หรือความคุ้มค่า เช่น “หุ่นเป๊ะใน 7 วัน” หรือ “ลดหนัก จัดเต็ม วันนี้วันเดียว!”
  • ระบุข้อเสนอหรือข้อมูลให้ชัดเจน ไม่คลุมเครือ เช่น “ฟรีค่าจัดส่งทุกออเดอร์” แทนที่จะใช้ “ค่าส่งสุดคุ้ม”
  • ใช้คำกระตุ้นให้ลงมือทำ (Call to Action) อย่างตรงไปตรงมา เช่น “คลิกดูรีวิวจริง” หรือ “สั่งซื้อตอนนี้”

การใช้ภาษาที่ชัดเจน และสื่อสารตรงกับสิ่งที่ลูกค้าอยากรู้ จะช่วยให้ผู้ชม “หยุดดู” โฆษณาของคุณ แทนที่จะเลื่อนผ่านไป

เปรียบเทียบข้อความที่ได้ผล กับข้อความทั่วไป

ข้อความทั่วไปข้อความที่โดนใจ
โปรโมชั่นสุดคุ้ม มาแล้ว!ลด 60% ทั้งร้าน วันนี้วันเดียวเท่านั้น
มีสินค้าใหม่เข้าเพียบกระเป๋าแฟชั่นรุ่นใหม่! รับส่วนลดพิเศษก่อนใคร
ห้ามพลาดโปรแรงจัดหนัก! ซื้อ 1 แถม 2 ทุกออเดอร์
จากตารางจะเห็นว่า ข้อความที่โดนใจมักมี “ตัวเลขชัดเจน” “คำแสดงอารมณ์” และ “ข้อเสนอแบบจับต้องได้” ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) และยอดขายได้จริง

เคล็ดลับเสริมสำหรับ Copy ที่ดี

แม้จะไม่มีสูตรตายตัวสำหรับข้อความโฆษณา แต่คุณสามารถใช้หลักการ A/B Testing เพื่อทดสอบว่าแบบใดทำงานได้ดีกว่า และปรับให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Instagram หรือ Google Ads ข้อความที่ดีไม่จำเป็นต้องยาว แต่อยู่ที่ว่า “สื่อสารโดนใจหรือไม่”

เทคนิคที่ 2 : ใช้ภาพและวิดีโอให้พูดแทนคุณ

“ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดนับพันคำ” คือแก่นของการตลาดออนไลน์ในยุคที่ผู้บริโภคมีเวลาจำกัด และข้อมูลไหลผ่านตลอดเวลา การโฆษณาสินค้าด้วยภาพและวิดีโอคุณภาพสูง สามารถกระตุ้นอารมณ์ ดึงดูดสายตา และสร้างความเข้าใจได้เร็วกว่าเนื้อหาข้อความล้วนหลายเท่า

ทำไมภาพและวิดีโอจึงทรงพลังกว่าคำพูด?

  • ภาพสามารถอธิบายสินค้า บรรยากาศ หรือผลลัพธ์ได้ภายในเสี้ยววินาที
  • วิดีโอช่วยเพิ่ม “ประสบการณ์” ให้ลูกค้าเห็นการใช้งานจริง รู้สึกเหมือนได้สัมผัสสินค้าโดยตรง
  • ผู้ชมบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook , Instagram , TikTok และ YouTube ตอบสนองต่อคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหวดีกว่าข้อความถึง 2–3 เท่า

องค์ประกอบภาพ/วิดีโอที่ดีในโฆษณา

  • ต้องชัดเจนทั้งแสง สี และการจัดวาง
  • ต้องเกี่ยวข้องกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
  • ต้องกระตุ้นอารมณ์ เช่น ความมั่นใจ ความอยากได้ ความอบอุ่น หรือความตื่นเต้น
  • หากเป็นวิดีโอ ควรมี “Hook” ภายใน 3 วินาทีแรก เช่น คำถาม กระตุ้นความสงสัย หรือฉากเปิดที่น่าดึงดูด

เปรียบเทียบผลลัพธ์จากภาพธรรมดา กับภาพโฆษณาแบบมืออาชีพ

ประเภทภาพลักษณะผลลัพธ์ที่มักได้
ภาพถ่ายจากมือถือในที่แสงน้อยมืด , ไม่เห็นรายละเอียดEngagement ต่ำ , ลูกค้าเลื่อนผ่าน
ภาพโปรดักชันที่จัดแสงและมุมกล้องดีสว่าง , เห็นสินค้าเต็มตา , มีฉากหลังสะอาดเพิ่มอัตราคลิกและการแชร์ , เพิ่มยอดขาย
วิดีโอแนวรีวิวสั้นบน TikTokใช้ผู้ใช้งานจริง , สื่อถึงการใช้งานจริงกระตุ้นความเชื่อถือ , ดึงดูด Gen Z ได้ดี

เคล็ดลับ! ถ้าทำเองไม่ถนัด ให้จ้างมืออาชีพ

การลงทุนกับ “Visual Content” ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่คือผลกำไรทางอ้อมจากการที่ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของคุณน่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน และใส่ใจรายละเอียดมากพอ ถ้าคุณไม่ถนัดเรื่องกล้องหรือการตัดต่อ การจ้างทีมงานมืออาชีพมาช่วยตั้งแต่ต้นจะคุ้มกว่าลองผิดลองถูกเองในระยะยาว

เทคนิคที่ 3 : วางกลยุทธ์ Influencer Marketing ให้โดนกลุ่มเป้าหมาย

Influencer Marketing คือการใช้ผู้มีอิทธิพลบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมาช่วยส่งสารแทนแบรนด์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเชื่อมโยงกับลูกค้าในแบบที่โฆษณาทั่วไปทำไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภค “เชื่อรีวิวมากกว่าโฆษณา” แต่การจะทำให้แคมเปญสำเร็จได้ ต้องวางแผนอย่างมีระบบ

เลือก Influencer ให้เหมาะกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย

ประเภท Influencerจำนวนผู้ติดตามเหมาะกับแบรนด์ที่…
Nano (1K–10K)เข้าถึงเฉพาะกลุ่มต้องการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิด
Micro (10K–100K)น่าเชื่อถือสูงมีงบประมาณจำกัด แต่ต้องการผลลัพธ์จริง
Macro (100K–1M)เข้าถึงวงกว้างต้องการการรับรู้ในระดับสูง
Mega (1M+)ครอบคลุมระดับประเทศต้องการสร้างภาพลักษณ์ระดับแบรนด์ใหญ่

ข้อแนะนำในการเลือก Influencer

  • พิจารณาความตรงกลุ่มมากกว่าจำนวนผู้ติดตาม
  • ตรวจสอบ Engagement Rate ว่าสื่อสารกับผู้ติดตามได้ดีหรือไม่
  • เลือกรูปแบบคอนเทนต์ที่เหมาะกับแพลตฟอร์ม เช่น TikTok เน้นไวรัลสนุกๆ , YouTube เหมาะกับรีวิวแบบลึก

กลยุทธ์การใช้งานให้มีประสิทธิภาพ

  • ให้ Influencer ทดลองใช้จริง แล้วแชร์ประสบการณ์อย่างจริงใจ
  • สร้าง Brief ที่ยืดหยุ่น เพื่อให้คอนเทนต์ออกมาธรรมชาติ ไม่ Hard Sell
  • กำหนด UTM หรือโค้ดเฉพาะ เพื่อติดตามผลได้ชัดเจน เช่น ยอดคลิกหรือยอดสั่งซื้อ
  • ใช้ Influencer หลายระดับร่วมกัน เช่น Macro สำหรับสร้างกระแส และ Micro เพื่อปิดการขาย

ตัวอย่างแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ

แบรนด์แพลตฟอร์มกลยุทธ์ผลลัพธ์
แบรนด์สกินแคร์Instagramส่งผลิตภัณฑ์ให้ Micro Influencer รีวิวยอดผู้ติดตามเพจแบรนด์เพิ่มขึ้น 25%
ร้านกาแฟTikTokให้ Creator สร้างคลิป “ท้าชิมเมนูใหม่”วิดีโอไวรัล 1.2M views ใน 3 วัน

กลยุทธ์ Influencer Marketing ที่ดี ต้องเริ่มจากความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง เลือกคนที่ “ใช่” มากกว่า “ดัง” แล้ววางแผนการสื่อสารอย่างมีเป้าหมาย คุณจะเปลี่ยนรีวิวธรรมดา ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ

เทคนิคที่ 4 : ใช้รูปภาพและวิดีโอให้เล่าเรื่องแทนคำพูด

ในโลกของโซเชียลมีเดีย การเลื่อนผ่านโพสต์เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที “ภาพแรก” และ “วินาทีแรกของวิดีโอ” จึงสำคัญที่สุด เพราะนั่นคือจุดตัดสินว่าผู้ชมจะหยุดดูต่อ หรือเลื่อนผ่านไป

แต่การใช้ภาพและวิดีโอในยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามอีกต่อไปมันต้อง เล่าเรื่องแทนข้อความ และ สร้างความรู้สึกเชื่อมโยง กับผู้ชมให้ได้

วิธีใช้ภาพให้โฆษณาทำงานแทนเรา

  • เลือกภาพที่สะท้อนคุณค่าแบรนด์ เช่น สินค้าแนวรักษ์โลก ควรใช้ภาพที่เน้นธรรมชาติจริง ไม่แต่งสีจัด
  • ใช้มุมมองที่ต่างจากเดิม เช่น แทนที่จะถ่ายสินค้าแบบตั้งโต๊ะ ใช้ภาพ lifestyle ที่แสดงการใช้งานจริง
  • Infographic ที่เข้าใจง่าย สรุปจุดขายหรือข้อมูลสำคัญได้ภายในไม่กี่วินาที เช่น คุณสมบัติสินค้า, โปรโมชั่น, วิธีใช้เบื้องต้น

วิดีโอโฆษณาไม่ต้องยาว แต่ต้องจับใจ

รูปแบบใช้เมื่อเคล็ดลับ
รีวิวสั้น 15–30 วิต้องการสร้างความน่าเชื่อถืออย่างรวดเร็วเริ่มด้วยปัญหา > สินค้าเป็นคำตอบ
วิดีโอเบื้องหลัง (BTS)ต้องการให้แบรนด์ดูจริงใจ โปร่งใสแสดงคนทำงาน สตอรี่ของสินค้า
How-to หรือสาธิตใช้สินค้าต้องการลดข้อสงสัย เพิ่มความเข้าใจใช้เสียงบรรยายหรือข้อความเสริม
Viral/Challengeต้องการให้คนแชร์เล่นกับกระแสเทรนด์, เพลง หรือมุกฮา

อย่าลืม Optimize ทุกวิดีโอ

  • เปิดต้นคลิปด้วย Hook หรือคำถามที่ดึงดูด เช่น “คุณกำลังเจอปัญหานี้อยู่หรือเปล่า?”
  • เพิ่มคำบรรยาย (Subtitle) สำหรับคนที่ไม่เปิดเสียง
  • จบบทด้วย Call-to-Action เช่น “กดดูรายละเอียด” , “คลิกสั่งซื้อเลย” หรือ “ติดตามเพจเพื่อไม่พลาดโปรเด็ด!”

ภาพและวิดีโอที่ดี ไม่ได้แค่ขายสินค้า — แต่ต้องเล่าเรื่อง สร้างความรู้สึก และทำให้แบรนด์ของคุณน่าจดจำ
ในยุคที่คอนเทนต์มากมายปรากฏบนฟีด การสร้างเนื้อหาที่ “เล่าเรื่องได้ในไม่กี่วินาที” คือหัวใจสำคัญของโฆษณาออนไลน์ที่โดนใจ

เทคนิคที่ 5 : ใช้โปรโมชั่นให้ได้ผล (โดยไม่เผาราคา)

หลายแบรนด์เลือกใช้ “ลด แลก แจก แถม” เพื่อดึงดูดลูกค้า แต่การทำโปรโมชันแบบไม่มีกลยุทธ์อาจกลายเป็นการทำลายมูลค่าแบรนด์โดยไม่รู้ตัว แล้วแบบไหนล่ะ ที่จะทำให้โปรโมชันยังคง “โดนใจ” และ “ทำกำไร”?

โปรโมชันที่ดี ไม่ใช่แค่ถูก แต่ต้องตรงจริตลูกค้า

แทนที่จะลดราคาอย่างเดียว ลองเปลี่ยนเป็น

  • ให้มูลค่าเพิ่ม เช่น ซื้อครบ 1,000 บาท แถมสินค้าทดลองหรือส่วนลดครั้งถัดไป
  • ใช้เวลาเป็นแรงกระตุ้น เช่น Flash Sale 3 ชั่วโมงเท่านั้น , โปรลับสำหรับผู้ติดตาม IG Story
  • กระตุ้น FOMO (Fear of Missing Out) มีจำนวนจำกัด , โปรพิเศษเฉพาะ 100 คนแรก

ตัวอย่างรูปแบบโปรโมชันที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย (โดยไม่แข่งราคา)

รูปแบบจุดแข็งเหมาะกับสถานการณ์
ซื้อ 1 แถม 1 (เฉพาะรุ่น)เร่งยอดสินค้าค้างสต็อกเคลียร์ของเก่า/สร้างกิจกรรม
ส่วนลดครั้งถัดไปสร้างลูกค้าซ้ำร้านใหม่/สินค้าใหม่
โปรกลุ่ม (ชวนเพื่อนลดเพิ่ม)เพิ่มผู้ติดตาม/ลูกค้าใหม่เปิดตัวแคมเปญหรือฤดูกาล
Lucky Draw / สุ่มแจกสร้างความสนุก & แชร์ง่ายเน้น Engagement บนโซเชียล

ใช้โปรโมชันเป็นเครื่องมือสร้างความผูกพัน

อย่าคิดว่าโปรโมชันคือ “ของฟรีที่ต้องยอมเสีย” หากออกแบบอย่างมีชั้นเชิง มันคือเครื่องมือที่ช่วยคุณ

  • เก็บ ข้อมูลลูกค้า (ผ่านคูปอง , QR Code , Email list)
  • เพิ่มการกลับมาซื้อซ้ำ
  • สร้างความรู้สึก “แบรนด์นี้เอาใจใส่ลูกค้า”

สรุป : การลดราคาทำให้ขายง่ายขึ้นในระยะสั้น แต่การใช้โปรโมชันอย่างมีเป้าหมาย จะทำให้แบรนด์คุณ “ยืนระยะ” ได้ยาวนานกว่า

เทคนิคที่ 6 : วางคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมแต่ละแพลตฟอร์ม

การทำโฆษณาสินค้าออนไลน์ให้โดนใจลูกค้า ไม่ใช่แค่ “ทำคอนเทนต์ดี” แล้วโพสต์ซ้ำกันทุกช่องทาง เพราะแต่ละแพลตฟอร์มมีธรรมชาติของผู้ใช้ที่ต่างกัน หากคุณเข้าใจและวางคอนเทนต์ให้ถูกกับพฤติกรรมในแต่ละที่ โอกาสในการดึงดูดและเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้าจะสูงขึ้นหลายเท่า

รู้จักลักษณะของแต่ละแพลตฟอร์ม (Social Media Behavior)

แพลตฟอร์มผู้ใช้ชอบอะไรควรนำเสนอแบบไหน
Facebookบทความ, รูปภาพ, Live สด, การแสดงความคิดเห็นเน้นเรื่องราว, ความสัมพันธ์, โพสต์ยาวได้
Instagramภาพสวย, สตอรี่, Reel สั้นโฟกัสที่ความสวยงาม, ไลฟ์สไตล์, รูปสวยเล่าเรื่อง
TikTokวิดีโอสั้น, สนุก, ติดไวรัลคอนเทนต์เร็ว, มีจังหวะ, เรียกอารมณ์
YouTubeคลิปวิดีโอที่มีสาระ/บันเทิงลึก ซึ้ง ใช้เวลาได้ เช่น รีวิว/How-to
LINE OAการแจ้งเตือน, ข้อเสนอพิเศษใช้กระชับ สื่อสารตรง ส่งคูปองหรือโปรโมชั่นเฉพาะตัว
Twitterข้อความสั้น, เทรนด์, ข่าวสารเข้าประเด็นไว, ใช้ #แฮชแท็ก เจาะกลุ่มเป้าหมาย

ตัวอย่าง(ถ้าคุณขายสินค้าสกินแคร์)

  • บน Instagram : โพสต์ Before-After ด้วยภาพโทนสวย พร้อมรีวิวสั้นๆ
  • บน TikTok : คลิป 15 วิโชว์รีวิวใช้จริง เปรียบเทียบ “ใช้ 7 วัน เปลี่ยนอะไร”
  • บน Facebook : โพสต์ยาวอธิบายที่มาสินค้า + รีวิวจากผู้ใช้
  • บน LINE OA : ส่งคูปอง “ลด 20% วันนี้เท่านั้น” พร้อมลิงก์สั่งซื้อ

อย่าทำคอนเทนต์เหมือนกันทุกที่

การ Copy+Paste ข้อความหรือรูปจาก Facebook ไปโพสต์ที่ TikTok หรือ IG อาจไม่เวิร์ก เพราะผู้ชมแต่ละช่องทางมีพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ต่างกัน ควรปรับโทน เสียง รูปแบบให้เข้ากับแพลตฟอร์มนั้นๆ

สรุป : แคมเปญที่ปัง = ไม่ใช่แค่ไอเดียดี แต่ต้อง “เล่าให้เป็น” บนแต่ละแพลตฟอร์ม

คำถามที่พบบ่อย

จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกค้าชอบโฆษณาแบบไหน?

วิเคราะห์จากพฤติกรรม CTR , Watch Time , Conversion Rate บนแต่ละ Platform

ต้องใช้ Influencer ไหมถ้าทุนไม่มาก?

ใช้ Micro Influencer ที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะจะคุ้มกว่า และได้ Engagement จริง

แพลตฟอร์มไหนโฆษณาแล้วเห็นผลเร็วที่สุด?

Facebook และ TikTok สำหรับ awareness / Google สำหรับ intent / YouTube สำหรับ branding

โฆษณาออนไลน์แบบไหนเหมาะกับธุรกิจเล็ก?

ธุรกิจเล็กควรเริ่มจาก Facebook Ads หรือ LINE OA ที่มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด พร้อมทำคอนเทนต์รีวิวหรือโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย

ใช้ Influencer ยังไงให้ได้ผล?

เลือก Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตามเยอะ แต่ต้องมี “ความน่าเชื่อถือ” และ “ผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ” ที่ชัดเจน

จำเป็นไหมต้องโฆษณาทุกแพลตฟอร์ม?

ไม่จำเป็น ต้องเลือกแพลตฟอร์มที่กลุ่มลูกค้าของคุณใช้งานมากที่สุด และออกแบบคอนเทนต์ให้เหมาะสมกับลักษณะของแพลตฟอร์มนั้น

สรุป

การโฆษณาสินค้าออนไลน์ให้ “โดนใจ” ต้องผสมผสานหลายเทคนิคอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่เพียงแค่ “เขียนข้อความดี” หรือ “ใช้โปรแรง” แต่ต้อง เข้าใจลูกค้า + เข้าใจสื่อ + เข้าใจกลยุทธ์

Key Takeaways

  • การใช้คอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้าคือหัวใจของการโฆษณาออนไลน์ที่ได้ผล
  • ภาพ วิดีโอ และข้อความต้องทำงานร่วมกันอย่างมีกลยุทธ์
  • การตลาดด้วย Influencer ช่วยสร้างความเชื่อถือและขยายการรับรู้
  • ต้องวางคอนเทนต์ให้เหมาะกับพฤติกรรมในแต่ละแพลตฟอร์ม
  • ใช้โปรโมชั่นและมาสคอตเพิ่มการจดจำแบรนด์